ปัจจัยความเสี่ยง

การบริหารจัดการความเสี่ยง

ในปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในโครงการแนวราบที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับวิธีการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถดึงดูดอุปทานที่เหลืออยู่ในตลาดได้

เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมาถึงแม้สถานการณ์จะผ่อนคลายและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ในสภาพกำลังฟื้นตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อโดยตรงและความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลง อาจทำให้ตลาดซื้อขายที่อยู่อาศัยขยายตัวในอัตราที่ลดลง เป็นเหตุให้การแข่งขันทางธุรกิจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่บริษัทฯ จะต้องติดตามดูแลเป็นพิเศษ และมีการปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบมิให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่บริษัทฯ

1 นโยบายและแผนการบริหารความเสี่ยง

คณะกรรมการบริษัท ได้ให้ความสําคัญเกี่ยวกับการประเมินการบริหารความเสี่ยง โดยกําหนดให้มีระบบและวิธีการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานสากล โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงประเมินประสิทธิภาพของการบริหาร และสอบทานผลการประเมินความเสี่ยง และกระบวนการทํางาน เพื่อควบคุมความเสี่ยงของหน่วยงานต่างๆ และรายงานให้คณะกรรมการบริษัททราบ รวมทั้งทบทวนและเสนอนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง รวมถึงให้ ความสําคัญกับสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าหรือรายการผิดปกติ และให้เปิดเผยไว้ในรายงานประจําปี

2 ปัจจัยความเสี่ยงต่อการดําเนินธุรกิจของบริษัท

ปัจจัยความเสี่ยงที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 มีดังต่อไปนี้

2.1 ความเสี่ยงเกี่ยวกับการแข่งขัน

ธุรกิจจัดสรรบ้านและที่ดินเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงเป็นปกติอยู่โดยตลอด เพราะมีผู้ประกอบการในตลาดมากราย แต่ละรายก็เน้นที่จะเพิ่มยอดขายและกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ทุกบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับโครงการแนวราบซึ่งเป็นสินค้าหลักของสัมมากรมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดของโครงการแนวราบสูงขึ้นมาก

แนวทางแก้ไข คือ ต้องติดตามสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านจัดสรร และทิศทางภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด วางแผนการก่อสร้างล่วงหน้าให้เหมาะสม สร้างบ้านคุณภาพตามความต้องการของตลาด ประการสำคัญต้องควบคุมต้นทุน เน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ใช้วิธีและสื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้ สร้างความแตกต่าง และบริษัทฯ จะต้องปรับตัวให้ทันเหตุการณ์หากมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหรือเกิดภาวะบ้านจัดสรรล้นตลาดเกิดขึ้น รวมทั้งการมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สัมมากรให้แข็งแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มคนที่กำลังมองหาซื้อบ้านหรือจะซื้อบ้านในอนาคตอันใกล้ สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการทำให้แบรนด์สัมมากรเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงเข้าใจในตัวธุรกิจของแบรนด์มากขึ้นเช้นเดียวกัน

2.2 ความเสี่ยงเรื่องกำลังซื้อลดลง

ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยเป็นผลลัพธ์จากโรคระบาดในช่วงปีที่ผ่านมามีผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จึงอาจทำให้ผู้บริโภคที่แม้มีกำลังซื้อแต่อาจขาดความเชื่อมั่นและระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น

แนวทางแก้ไข คือ บริษัทฯ ต้องเน้นการสร้างบ้านคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้ โดยใช้นวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยให้มากขึ้น ทั้งรูปแบบวัสดุและกระบวนการก่อสร้าง บริษัทฯ ต้องใช้การตลาดให้หลากหลายมากขึ้นรวมถึงตรงจุดในแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ การสร้างมูลค่าของแบรนด์ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท ซึ่งจะช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อแบรนด์เรามากขึ้น ง่ายขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องลดราคามากเกินไป เพราะจากผลสำรวจ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะยอมซื้อสินค้าที่มีแบรนด์แข็งแรง เป็นที่รู้จักในราคาที่สูงกว่าแบรนด์ที่ไม่แข็งแรง แม้จะเป็นสินค้าแบบเดียวกัน

2.3 ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง

ความเสี่ยงดังกล่าว เป็นความเสี่ยงที่สำคัญยิ่งของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาขาดสภาพคล่องจะเกิดได้จากการที่รายรับของกิจการได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ในขณะที่ยอดรายจ่ายสูง หรือกรณีที่สภาพคล่องมีน้อย แต่มีการลงทุนเพิ่มจำนวนมาก หรือมีภาวะหนี้ผูกพันระยะสั้นที่ต้องจ่ายตามกำหนดเวลาจำนวนมาก

แนวทางแก้ไข คือ บริษัทฯ ต้องติดตามดูแลปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะกระแสเงินสด บัญชีรายรับรายจ่ายอย่างใกล้ชิด และต้องไม่ก่อหนี้จำนวนมากเกินขีดความสามารถที่จะชำระได้ อาจต้องชะลอการลงทุนที่จะก่อภาระหนี้สินจำนวนมากออกไปก่อน หากจำเป็นต้องลงทุนก็ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด นอกจากนั้นจะต้องมีการเจรจาทำความตกลงกับธนาคารให้ผ่อนปรนมากที่สุด และจะต้องมีการสำรองเงินสดให้เพียงพอ รวมทั้งขอวงเงินกู้กับธนาคารสำรองไว้ด้วย และที่สำคัญต้องมีสัญญาณไว้คอยเตือนภัยเพื่อรู้ล่วงหน้าให้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดปัญหา