ประวัติความเป็นมา
บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ก่อนตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ดำเนินธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ประเภทบ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร
บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพื่อขายเป็นหลัก จวบจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 50 ปีบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการเพื่ออยู่อาศัยและส่งมอบบ้านแก่ผู้ซื้อแล้วกว่า 6,000 หน่วย โดยบริษัทฯมุ่งเน้นที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ เพื่อการอยู่อาศัยที่ดีของคนไทยในราคาที่เหมาะสมนอกจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายแล้ว บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทให้เช่า โดยพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน ภายใต้ชื่อ ศูนย์การค้าสัมมากรเพลส (Sammakorn Place) ซึ่งมีที่ตั้งอยู่บนถนนรังสิตคลอง 2 ถนนรามคำแหง และถนนราช-พฤกษ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการหารายได้ที่สม่ำเสมอให้กับบริษัทฯ และสร้างรายได้ในระยะยาวให้มีความผันผวนน้อยลงอีกทั้งยังสร้างเครือข่ายชุมชนให้มีความสะดวกสบายในการพักอาศัยอีกด้วย
“เราไม่เพียงสร้างบ้าน แต่เราสร้างสังคม”
การประกอบธุรกิจ
รายได้หลักของบริษัทฯมาจากการจำหน่ายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก
บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยประเภทแนวราบ และแนวสูง ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล โดยมีโครงการในต่างจังหวัดซึ่งได้มีการเปิดตัวโครงการในปี 2565 จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ บาร์นยาร์ด เขาใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา
โครงการของบริษัทฯ ทั้งหมดมีลักษณะเป็นโครงการสร้างเสร็จก่อนขาย ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อแบรนด์ “สัมมากร” และในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวแบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ เพิ่มอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ มิตติ และแบรนด์ อนาพนา ในส่วนของ ทาวน์โฮม 2 และ 3 ชั้น ภายใต้ชื่อแบรนด์ “สัมมากร อเวนิว” ซึ่งเน้นตั้งอยู่ในเขตชุมชนใกล้กับสถานที่อำนวยความสะดวก และแหล่งคมนาคม เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตอย่างเต็มรูปแบบ โครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อแบรนด์ “สัมมากร S9” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า แหล่งการค้า และย่านธุรกิจแห่งใหม่ โครงการโฮมออฟฟิศ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ออฟฟิศ พาร์ค” และโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบกลุ่ม Super Luxury ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Providence Lane” และโครงการใหม่ Park Heritage ซึ่งได้เปิดตัวโครงการไปในปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
ประเภทผลิตภัณฑ์ | |||
---|---|---|---|
ระดับราคา | บ้านเดี่ยว / บ้านแฝด / มิกซ์โปรดักส์ | ทาวน์โฮม / ช็อปเฮ้าส์ / โฮมออฟฟิศ | คอนโดมิเนียม |
> 20.00 ล้านบาทต่อยูนิต | > 7.00 ล้านบาทต่อยูนิต | > 250,000 บาทต่อตร.ม. | |
สูง | |||
8.00-20.00 ล้านบาทต่อยูนิต | 3.00-7.00 ล้านบาทต่อยูนิต | 150,000-250,000 บาทต่อตร.ม. | |
ปานกลาง | |||
> 3.50-8.00 ล้านบาทต่อยูนิต | < 3.00 ล้านบาทต่อยูนิต | < 150,000 บาทต่อตร.ม | |
ต่ำ | |||
นโยบายการดำเนินธุรกิจ
ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี ที่สัมมากรไม่เพียงแต่สร้างบ้านและที่อยู่อาศัย แต่เรายังมีประสบการณ์ในการดูแลลูกบ้านกว่าหมื่นชีวิต เราจึงรู้ถึงความต้องการในทุกมิติ เข้าใจถึงการใช้ชีวิตในบ้านที่หลากหลาย และเปลี่ยนไปของคนไทย เป็นที่มาของปรัชญาบริษัท “บ้านที่หลับสบาย” ที่สัมมากรนำไปใช้ในการคิดทุกรายละเอียดอย่างใส่ใจ และออกแบบให้ทุกพื้นที่ในบ้านถูกใช้สอยอย่างเหมาะสมลงตัวกับวิถีชีวิตของคนไทยทุกยุคทุกสมัย
หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเปลี่ยนนโยบายสร้างบ้านแบบสั่งสร้าง มาเป็นสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นที่จะดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อไป โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มนโยบายการส่งมอบบ้าน และห้องชุดให้แก่ลูกค้าด้วยคุณภาพที่ดี และตรงเวลา ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เน้นให้บ้านทุกหลัง และห้องชุดทุกยูนิตที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพจากทั้งทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ และทีมดูแลลูกค้า โดยการเสริมขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพระหว่างหน่วยงาน (Quality Control) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบ้าน และห้องชุดที่สร้างเสร็จจะถูกต้องตามหลักวิศวกรรม ได้คุณภาพ และตรงความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย บริษัทฯ มั่นใจว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ และยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ในปีที่ผ่านมา ทางบริษัทให้ความสำคัญในทุกด้านครอบคลุมทุกประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับตั้งแต่การทำการตลาดที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย การเสนอโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อ การส่งมอบบ้านและห้องชุดที่มีคุณภาพดี รวมทั้งใส่ใจและให้ความสำคัญอย่างเต็มที่กับงานบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยบริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายที่จะสร้างสังคมเพื่ออยู่อาศัย และออกกฎระเบียบการอยู่อาศัยร่วมกันของลูกบ้าน เพื่อเป็นการวางรากฐานสังคมที่ดีให้กับชุมชนในอนาคต รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทและลูกบ้านให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้พนักงานที่ดูแลการบริการหลังการขายในแต่ละโครงการสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และสามารถให้การบริการที่ดีเกินความคาดหวัง
การพัฒนาองค์กร และบุคลากร
บริษัทฯ เน้นให้พนักงานนำความคิดรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากที่เคยปฏิบัติมาใช้เพื่อการวางแผน มุ่งเน้นที่จะพัฒนาและเพิ่มความสามารถของบุคลากร ในขณะที่ระดับพนักงานถูกกำหนดให้เรียนรู้ในการทำงานอย่างเป็นทีม มีประสิทธิภาพและเพิ่มระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังเริ่มหันมามุ่งพัฒนาการทำการตลาดด้วยสื่อออนไลน์เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างให้แบรนด์สัมมากรเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมุ่งเน้นทั้งในเรื่องของการพัฒนาเนื้อหาให้ตรงต่อความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการสื่อสารออนไลน์ใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และบริษัทฯ ได้นำเอาเทคโนโลยีผนังหล่อสำเร็จรูปมาใช้ในการสร้างบ้าน เนื่องด้วยระบบดังกล่าวในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาไปไกลกว่าในอดีตมากแล้ว ทำให้บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการนำมาใช้เพื่อตอบสนองแผนการตลาดและขายที่จะต้องรวดเร็วขึ้น ในขณะที่คุณภาพของสินค้าส่งมอบให้แก่ลูกค้าต้องยังอยู่ในมาตรฐานคุณภาพของบริษัทฯ
โครงสร้างรายได้
โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ประกอบด้วยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งในปี 2565 มีสัดส่วนร้อยละ 90.10 ของรายได้รวม นอกจากนั้นก็มีรายได้จากการให้เช่า รายได้จากการบริการ รายได้จากการขายอาหารและเบเกอรี่ และรายได้อื่นๆ โครงสร้างรายได้ในรอบ 3 ปี ที่ผ่านมามีสัดส่วนดังนี้
โครงสร้างรายได้เปรียบเทียบ 3 ปี (งบการเงินรวม)
(หน่วย : ล้านบาท)
ประเภทรายได้ | ดำเนินการโดย | % การถือหุ้น | 2565 | 2564 | 2563 | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ล้านบาท | ร้อยละ | ล้านบาท | ร้อยละ | ล้านบาท | ร้อยละ | |||
รายได้จากการขายบ้านและที่ดิน | SAMCO, SMKP | SMKP 51% | 2,166 | 90.10 | 1,241 | 86.06 | 1,491 | 87.65 |
รายได้จากการให้เช่า | SAMCO, PSDC | 100% | 108 | 4.49 | 97 | 6.73 | 96 | 5.64 |
รายได้จากค่าบริการ | SAMCO, PSDC, SMKP | PSDC 100%, SMKP 51% | 92 | 3.83 | 87 | 6.03 | 81 | 4.76 |
รายได้จากการขายอาหารและเบเกอรี่ | SFB | 100% | 22 | 0.91 | 2 | 0.14 | - | 0.00 |
รายได้อื่น | 16 | 0.67 | 15 | 1.04 | 33 | 1.94 | ||
รวมรายได้ | 2,404 | 100 | 1,442 | 100 | 1,701 | 100 |
โครงการในอนาคต
โครงการ | ที่ตั้งโครงการ | จำนวนยูนิต | ระดับราคา (ล้านบาท) | มูลค่าโครงการ (ล้านบาท) | ความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการ | คาดว่าเปิดขาย |
---|---|---|---|---|---|---|
Mtti : klong 6 | รังสิต คลอง 6 ปทุมธานี | 191 | 4.79 - 5.29 | 955 | 40% | Q3 2566 |
Mtti : 346 | ถนน 364 ปทุมธานี | 157 | 4.39 - 4.89 | 705 | 95% | Q1 2566 |
Anapana รามอินทราวงแหวน | รามอินทราวงแหวน (จตุโชติ) | 141 | 8.00 - 14.00 | 1,550 | 40% | Q1 2567 |
ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของสื่อการตลาดรวมทั้งเนื้อหาทางการสื่อสารทางการตลาดให้ได้ผล และมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายในแต่ละ segment ของบริษัท โดยคาดหวังให้ทางบริษัทมี share of voice ในตลาดได้มากยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพของสื่อทางการตลาดที่ใช้อยู่ และเพิ่มช่องทางอื่นๆ หรือวิธีการสื่อสารด้วยเนื้อหาใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น เช่น ปี 2565 ได้มีการเริ่มทำการตลาดผ่านช่องทาง TikTok หรือ Micro Online influencer ที่มีฐานลูกค้าตรงกับสินค้าของบริษัทมากขึ้น โดยได้ผลลัพธ์ที่ดีและยังคงจะเป็นหนึ่งในช่องทางการสื่อสารหลักของบริษัทในปี 2566 ต่อไป และเน้นการออกแบบที่เน้นมาจาก Insight ของลูกค้าในแต่ละกลุ่มการวางเนื้อหาในแต่ละชิ้นงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้
ในปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะในโครงการแนวราบที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ความต้องการของโครงการแนวราบสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้บริษัทต้องปรับวิธีการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถดึงดูดอุปทานที่เหลืออยู่ในตลาดได้
ความรู้สึกของผู้บริโภคต่อความสำคัญของการมีที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านดี่ยว มีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติจากการเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคจึงต้องการพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ตอบรับกับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่นี้
เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ยังคงได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศลดลงอย่างชัดเจน แม้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี แต่สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยนี้ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อโดยตรงและความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลงรวมถึงความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ อาจทำให้ตลาดซื้อขายที่อยู่อาศัยขยายตัวในอัตราที่ลดลง เป็นเหตุให้การแข่งขันทางธุรกิจจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นความเสี่ยงที่บริษัทฯ จะต้องติดตามดูแลเป็นพิเศษ และมีการปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบมิให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่บริษัทฯ
สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า
โดยในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าเท่ากับ 4 คะแนน (คะแนนเต็ม 5) บริษัทสามารถทำได้ 4.65 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการและการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม และมีความมุ่งมั่นเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด เริ่มตั้งแต่การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงไปตรงมา เพียงพอต่อการตัดสินใจ รวมถึงการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ และบริการที่ดีรวมทั้งจัดให้มีระบบช่องทางการติดต่อสำหรับให้ลูกค้าร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า และบริการ
ความเสี่ยงหลักในการดำเนินธุรกิจและแนวทางป้องกันแก้ไข
ปัจจัยความเสี่ยงที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 มีดังต่อไปนี้
- ความเสี่ยงเกี่ยวกับการแข่งขัน
ธุรกิจจัดสรรบ้านและที่ดินเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงเป็นปกติอยู่โดยตลอด เพราะมีผู้ประกอบการในตลาดมากราย แต่ละรายก็เน้นที่จะเพิ่มยอดขายและกำไร และยังต้องแข่งขันกับคอนโดมิเนียมซึ่งมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นสูง
แนวทางแก้ไข คือ ต้องติดตามสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านจัดสรร และทิศทางภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด วางแผนการก่อสร้างล่วงหน้าให้เหมาะสม สร้างบ้านคุณภาพตามความต้องการของตลาด ประการสำคัญต้องควบคุมต้นทุน เน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ใช้วิธีและสื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้ สร้างความแตกต่าง และบริษัทฯ จะต้องปรับตัวให้ทันเหตุการณ์หากมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหรือเกิดภาวะบ้านจัดสรรล้นตลาดเกิดขึ้น รวมทั้งการมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สัมมากรให้แข็งแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มคนที่กำลังมองหาซื้อบ้านหรือจะซื้อบ้านในอนาคตอันใกล้ - ความเสี่ยงเรื่องกำลังซื้อลดลง
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยเป็นผลลัพธ์จากโรคระบาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างมีสาระสำคัญ เมื่อการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงจะมีผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างมาก เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวในอัตราที่สูง ประกอบกับความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จึงอาจทำให้ผู้บริโภคที่แม้มีกำลังซื้อแต่อาจขาดความเชื่อมั่นและระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น
แนวทางแก้ไข คือ บริษัทฯ ต้องเน้นการสร้างบ้านคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้ โดยใช้นวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยให้มากขึ้น ทั้งรูปแบบวัสดุและกระบวนการก่อสร้าง บริษัทฯ ต้องใช้การตลาดให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ในขณะที่ยังมีข้อดี คือ วิกฤตโรคระบาดส่งผลให้ที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะแนวราบกลายเป็นปัจจัยในการใช้ชีวิตที่คนให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกค้าเร่งซื้อบ้านได้ อย่างไรก็ตามการติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องทำอย่างจริงจังเพื่อสามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาทางจัดการได้ตั้งแต่แรก - ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง
ความเสี่ยงดังกล่าว เป็นความเสี่ยงที่สำคัญยิ่งของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาขาดสภาพคล่องจะเกิดได้จากการที่รายรับของกิจการได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ในขณะที่ยอดรายจ่ายสูง หรือกรณีที่สภาพคล่องมีน้อย แต่มีการลงทุนเพิ่มจำนวนมาก หรือมีภาวะหนี้ผูกพันระยะสั้นที่ต้องจ่ายตามกำหนดเวลาจำนวนมาก
แนวทางแก้ไข คือ บริษัทฯ ต้องติดตามดูแลปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะกระแสเงินสด บัญชีรายรับรายจ่ายอย่างใกล้ชิด และต้องไม่ก่อหนี้จำนวนมากเกินขีดความสามารถที่จะชำระได้ อาจต้องชะลอการลงทุนที่จะก่อภาระหนี้สินจำนวนมากออกไปก่อน หากจำเป็นต้องลงทุนก็ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด นอกจากนั้นจะต้องมีการเจรจาทำความตกลงกับธนาคารให้ผ่อนปรนมากที่สุด และจะต้องมีการสำรองเงินสดให้เพียงพอ รวมทั้งขอวงเงินกู้กับธนาคารสำรองไว้ด้วย และที่สำคัญต้องมีสัญญาณไว้คอยเตือนภัยเพื่อรู้ล่วงหน้าให้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดปัญหา
เป้าหมายในระยะยาว
ยังคงมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สัมมากรอย่างต่อเนื่องและเป็นแผนระยะยาวเพื่อทำให้ แบรนด์สัมมากร รวมทั้งแบรนด์ต่างๆ ภายใต้แบรนด์สัมมากรเป็น Top of Mind ในการซื้อบ้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งเพื่อเพิ่ม Organic traffic ของทุกโครงการของบริษัท
วัตถุประสงค์/เป้าหมายระยะยาวของบริษัท
บริษัทมีเป้าหมายทำรายได้ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2566 เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ เราได้พัฒนาแผนงานที่เหมาะสมในการรองรับโอกาสและเผชิญกับความท้าทายในอนาคต ควบคู่ไปกับการเติมเต็มความต้องการที่จำเป็นของการเป็นองค์กรที่มีความับผิดชอบต่อสังคมในทุกแง่มุมของการดำเนินงานของเรา